ความเสี่ยงต่อโรคภัยอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด โดยเฉพาะคนที่ชอบนั่งเล่นมือถือขณะเข้าห้องน้ำ หรือต้องพกเข้าห้องน้ำด้วยทุกครั้ง โดยเฉพาะห้องน้ำสาธารณะ ที่มีคนเข้า-ออกนับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก  มาดูกันว่าจะมีความเสี่ยงเป็นอะไรกันบ้าง 1. เสี่ยงท้องผูก การเล่นมือถือหรืออ่านหนังสือในขณะที่นั่งส้วม จะทำให้เราโฟกัสอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มากกว่าการขับถ่าย ทำให้จังหวะเคลื่อนตัวของเสียในลำไส้หยุดชะงักแล้วไหลกลับไปอยู่ในร่างกายเหมือนเดิม ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ในความเป็นจริงเราไม่ควรใช้เวลานั่งส้วมนานเกิน 15 นาที ดังนั้นจึงแนะนำว่า เราควรเข้าห้องน้ำเมื่อรู้สึกปวดถ่ายจริง ๆ แทนการนั่งเล่นมือถือหรืออ่านหนังสือนั่นเอง 2. เสี่ยงเป็นริดสีดวงทวาร เมื่อเกิดอาการท้องผูกแล้ว สิ่งที่มักจะตามมาก็คือโรคริดสีดวงทวาร ยิ่งหากยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ยังคงเล่นมือถือขณะนั่งส้วมอยู่การที่เราพยายามจะเบ่ง พยายามจะนั่งจนกว่าจะถ่ายจะส่งผลให้เกิดแรงดันในช่องท้องมาก เส้นเลือดดำถ่ายเทไม่สะดวกและเกิดอาการโป่งพองขึ้น กลายเป็นริดสีดวงทวารในที่สุด ซึ่งหากไม่อยากเป็นพยายามกินผัก ผลไม้ อาหารที่มีกากใยเยอะ ๆ พร้อมทั้งเลี่ยงการนั่งส้วมนาน ๆ ด้วย 3. เสี่ยงต่อการถ่ายไม่สุด การโฟกัสกับสิ่งที่ถืออยู่ตรงหน้ามากกว่าโฟกัสเรื่องการขับถ่าย ไม่เพียงแต่ทำให้ถ่ายยากขึ้นเท่านั้น แต่บางคนถ่ายออกมาแบบกะปริดกะปรอยมาก ทำให้เกิดความรู้สึกว่าถ่ายไม่สุด ซึ่งมันจะมวน…

ด้วยปัจจัยและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเราในปัจจุบันเต็มไปด้วยสิ่งรบกวนภายนอกมากมายที่อาจทำให้ร่างกายของเราเสื่อมโทรมได้ไวขึ้น รวมถึงสภาพผิวที่ต้องเจอทั้งฝุ่น ควัน และแสงแดด นอกจากการพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายตามปกติในชีวิตประจำวันแล้ว เราควรรู้จักการเสริมด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์กว่าเดิมด้วยสารอาหาร “กลูต้าไธโอน” เพื่อสุขภาพผิว ประโยชน์ของกลูต้าไธโอน – ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณดูกระจ่างใสมากขึ้นโดยการทำงานของกลูต้าจะเข้าไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งจะช่วยทำให้การสร้างเมลานิน (Melanin) ในผิวลดลง – กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายกลูต้าไธโอนยังช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย ช่วยให้ร่างกายสามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส ได้ดียิ่งขึ้น – เป็นสารต้านอนุมูลอิสระกลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยป้องกันความเสื่อมสภาพให้เซลล์ภายในร่างกาย ช่วยป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อถูกทำลาย ต้านการอักเสบ ป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ – ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายช่วยฟื้นฟู และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับให้สามารถทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยทำให้ให้สารพิษ เช่น โลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง ละลายในไขมัน…

ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนหลายคนอาจต้องเจอกับปัญหาสุขภาพ อย่างอาการไอกันไม่มากก็น้อย หากใครที่กำลังหาวิธีรักษาอาการไอ ซึ่งเรามีวิธีการเลือกทานอาหารเพื่อรักษาอาการไอให้ดีขึ้น รวมไปถึงอาหารที่ทำให้เราไอมากขึ้น จะมีอะไรบ้าง ดูเลย อาหารที่ทำให้ไอมาก(ควรหลีกเลี่ยง) 1. อาหารที่มีรสชาติหวานเช่น ขนม ของหวาน  น้ำอัดลม น้ำผลไม้สำเร็จรูป และน้ำหวานทุกชนิด เนื่องจากน้ำตาลในอาหารจะกระตุ้นการอักเสบ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการอักเสบ และการติดเชื้อในร่างกาย ทำให้ผู้ที่ป่วยที่เป็นหวัด มีอาการไอขึ้น 2. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน จะมีฤทธิ์ในการขับปัสสาวะ ดังนั้นการรับประทานชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมาก ๆ ก็จะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และทำให้ระบบทางเดินหายใจระคายเคือง จมูกบวม น้ำมูกไหล และมีเสมหะข้นเหนียว ก่อให้เกิดอาการไอมากขึ้นได้ 3. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดภูมิต้านทานในร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดน้ำ แถมแอลกอฮอล์ยังไปละลายตัวยาที่เรากินเข้าไปเพื่อใช้แก้อาการหวัด และอาการไอต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงนั่นเอง…

“โรคนิ้วล็อค” เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นกับหนุ่มสาวในช่วงวัยทำงาน รวมจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งสาเหตุมักมาจากการใช้งานนิ้วมือที่หนักเกินไป การใช้งานนิ้วมือด้วยท่าเดิม หรือแม้แต่การใช้นิ้วมือหิ้วของหนักก็เป็นสาเหตุของการเกิดโรคนิ้วล็อคได้เช่นกัน ยิ่งด้วยพฤติกรรมของหนุ่มสาวยุคนี้ นอกจากจะใช้นิ้วมือในการเล่นสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเป็นเวลานาน ๆ เช่น การเล่นโซเชียล การเล่นเกมส์ต่าง ๆ  ก็ถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคได้ เมื่อเราใช้งานนิ้วมือมากเกินจนเกิดการอักเสบบริเวณปลอกหุ้มเส้นเอ็นบริเวณฐานของนิ้วมือ เป็นเหตุให้ปลอกหุ้มเส้นเอ็นหนาตัวขึ้น เส้นเอ็นภายในจึงเคลื่อนผ่านปลอกหุ้มเส้นเอ็นด้วยความยากลำบาก ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดและขยับนิ้วมือได้ยากลำบากขึ้นนั่นเอง ซึ่งวิธีแก้อาการนิ้วล็อค สามารถใช้วิธีการกดจุดทำได้ด้วยตัวเอง โดยก่อนทำการกดจุด เราควรแช่มือในน้ำอุ่นก่อนประมาณ 10-15 นาที ซึ่งในน้ำอุ่นนั้นเราสามารถผสมสมุนไพรต่าง ๆ ลงไปได้ เช่น มะกรูด ขมิ้นชัน ซึ่งการนำมือไปแช่น้ำอุ่นนี้จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น รวมถึงยังลดอาการเจ็บปวดจากโรคนิ้วล็อคได้ด้วย จากนั้นไปดูขั้นตอนการกดจุดกันเลย วิธีที่ 1 ใช้นิ้วโป้งกดจุดบริเวณกึ่งกลางข้อมือ โดยวัดจากปลายอุ้งมือลงมา 2 นิ้ว (ใช้สองนิ้วมือทาบ)…

คนญี่ปุ่นมักจะมีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเพื่อให้แข็งแรงและแลดูอ่อนวัยอยู่เสมอ หนึ่งในเคล็ดลับที่ได้รับความนิยมมากในกลุ่มคนรักสุขภาพก็คือ ผักจิ๋วหลายชนิด มารู้จักผักจิ๋วที่คนญี่ปุ่นแนะนำว่าควรรับประทานเป็นประจำ เพื่อคงความแข็งแรงและความอ่อนเยาว์ของร่างกายกันนะ “ผักจิ๋ว” ที่คนญี่ปุ่นแนะนำให้กิน มะเขือเทศราชินีหรือมะเขือเทศเชอร์รี่  (ミニトマト) แม้จะมีผลเล็กจิ๋วแต่มะเขือเทศเชอร์รี่มีคุณค่าสารอาหารมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีวิตามินบี วิตามินซี และโพแทสเซียมสูงกว่ามะเขือเทศผลใหญ่ 1-2 เท่า มีไลโคปีนสูงกว่าประมาณ 3 เท่า และมีสารเอสคิวลีโอไซด์ เอ (Esculeoside A) สูงกว่าประมาณ 3-5 เท่า ซึ่งสารเอสคิวลีโอไซด์ เอ นี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าไลโคปีน ช่วยลดความรุนแรงของภาวะหมดประจำเดือน ป้องกันโรคภูมิแพ้ โรคกระดูกพรุน โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ เป็นต้น การรับประทานมะเขือเทศเชอร์รี่เพียงวันละ 3…