ปัญหาห้องเหม็นอับหรือบ้านมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะกลิ่นอับสะสมในช่องแอร์ที่เปรียบเสมือนจุดแพร่กระจายกลิ่นไปทั่วทุกมุมห้อง หากกลิ่นอับเหล่านี้เป็นปัญหากวนใจคุณ สำรวจกลิ่นห้องเหม็นอับ เกิดจากอะไรได้บ้าง ? เพราะกลิ่นอับสะสมในบ้าน ไม่ได้สร้างปัญหาแค่กับเรื่องกลิ่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังลุกลามไปเป็นแหล่งเพาะเชื้อรา หรือเชื้อโรคอื่นๆ ได้อีกด้วย ชวนสำรวจต้นตอของปัญหาห้องเหม็นอับที่รบกวนสมาชิกในบ้านง่ายที่สุด อะไรบ้างที่เป็นสาเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์ภายในบ้านมาดูไปพร้อมกัน ปัญหากลิ่นสะสม ที่มักจะมาจากอาหาร บุหรี่ และกลิ่นจากสัตว์เลี้ยงที่อยู่ภายในห้อง โดยเฉพาะบริเวณห้องครัวที่เป็นแหล่งสะสมปัญหาห้องเหม็นอับ ลักษณะห้องที่มีกลิ่นอับง่าย เช่น ห้องปรับอากาศ หรือห้องที่ค่อนข้างปิดทึบ ทำให้อากาศในห้องไม่สามารถถ่ายเทได้ดีเท่าที่ควร สิ่งของที่อับชื้นง่าย โดยเฉพาะพวกผ้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผ้าหุ้มเบาะ โซฟา ผ้าม่าน พรม ไปจนถึงเสื้อผ้าของเราเอง 10 วิธีเปลี่ยนห้องเหม็นอับ ปลุกบรรยากาศบ้านสดชื่น 1. น้ำส้มสายชูขอเริ่มกันที่น้ำส้มสายชู เพราะมีส่วนประกอบของกรดซึ่งมีกลิ่นที่ฉุน แต่ในขณะเดียวกันกลับมีคุณสมบัติที่ช่วยดูดกลิ่นต่าง ๆ ทำให้กลิ่นเหม็นอับไม่พึงประสงค์ในบ้านหมดไป…

วันนี้เราจะพาสายคลีน ส่วนผสม ECO Friendly กัน หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ ! ส่วนผสมแบบไหนนะ ที่เข้าข่ายบ้าง อย่างแรกเลย ส่วนผสมที่ดีต่อเราและดีต่อธรรมชาติต้องสามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ รวมถึงไม่เป็นการรบกวนธรรมชาติมากจนเกินไป สำคัญคือ ต้องลดการเกิดขยะจากกระบวนการผลิตและต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย และวันนี้เราได้ทำการรวบรวม 6 ส่วนผสม ECO Friendly มาให้ได้ดูกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย ! 1.Ceramide Ceramide เป็นอีกหนึ่งส่วนผสมที่เรามักจะเห็นในสกินแคร์กันบ่อย ๆ Ceramide มีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเกราะป้องกันผิว ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวของเราทนต่อการถูกมลภาวะ แสงแดด ความแห้งทำร้าย สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์จะเข้าไปช่วยซ่อมแซมและเติมเต็มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวของเรา ทำให้เกราะป้องกันผิวของเราแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ เซราไมด์ยังช่วยให้ผิวของเราไม่แพ้ง่ายอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งสารสกัดที่เรียกได้ว่าดีต่อผิวสุด…

อาหารที่มีรสชาติหวาน หรือของหวานนั้นเป็นรสชาติที่ถูกปากถูกใจหลาย ๆ คนอย่างแน่นอน ความหวานก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ รวมถึงเป็นสิ่งที่คอยเยียวยา เพิ่มพลังงานในแต่ละวัน แต่ความหวานเหล่านี้ก็ทำให้แก่เร็วได้ แต่จะจริงหรือไม่ วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกันค่ะ ทำไมกินหวานแล้วถึงทำให้แก่ลง เวลาเรากินน้ำตาลเข้าไป น้ำตาลจะถูกย่อยเป็นหน่วยเล็ก ๆ และดูดซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว น้ำตาลในเลือดเหล่านี้จะเดินทางไปทั่วร่างกายรวมทั้งที่ผิวหนังทำให้น้ำตาลที่ผิวหนังสูงขึ้น จากนั้นน้ำตาลที่อยู่ที่ผิวจะทำปฎิกริยากับโปรตีน และคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวหนังของเราทำให้เกิด “สารอนุมูลอิสระ” ส่งผลให้โปรตีน และ คอลลาเจนเสื่อมสภาพ เกิดเป็นริ้วรอย เหี่ยวก่อนวัย มากไปกว่านั้น โดยปกติเวลาที่โปรตีน และคอลลาเจนเสื่อมตามธรรมชาติ ร่างกายเราจะมีระบบกำจัดโปรตีน และคอลลาเจนที่เสื่อมพวกนี้ออกไป รวมทั้งมีกลไกที่ช่วยชะลอความเสื่อมของโปรตีน และคอลลาเจนด้วย ช่วยให้หน้าเราไม่เหี่ยว หรือมีริ้วรอยก่อนวัยมากนัก แต่น้ำตาลในเลือดนี้ไปขัดขวางกลไกการกำจัดของเรา รวมทั้งขัดขวางกลไกการชะลอความเสื่อมด้วย ทำให้หน้าเราสามารถสะสมโปรตีน และคอลลาเจนที่เสื่อมได้อย่างไม่รู้จบ เรียกว่า แก่แล้วแก่อีกนั่นเอง…

ในช่วงอายุตั้งแต่ 45-55 ปี ผู้หญิงส่วนใหญ่มักประสบปัญหาวัยทอง เนื่องจากในวัยนี้เป็นช่วงวัยที่ร่างกายของผู้หญิงสร้างฮอร์โมนเพศนั่นคือเอสโตรเจนลดน้อยลง และส่งผลเสียทางร่างกายต่าง ๆ เช่น อ่อนเพลีย หงุดหงิดอารมณ์แปรปรวน นอนไม่หลับ ช่องคลอดแห้ง และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น การที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงจนหยุดผลิต ไม่เพียงแค่ส่งผลให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์เท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวหากละเลยไม่ใส่ใจดูแล มารู้วิธีการดูแลสุขภาพเพื่อผ่านวัยทองไปสู่วัยสูงอายุที่มีสุขภาพแข็งแรงกัน ผลกระทบสำคัญหลังการหยุดสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิง เอสโตรเจนและฮอร์โมนเพศหญิงอื่น ๆ สร้างมาจากคอเลสเตอรอลในร่างกาย เมื่อเข้าสู่วัยทองที่ร่างกายสร้างฮอร์โมนเพศหญิงได้น้อยลงจะส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และหากไม่ดูแลใส่ใจสุขภาพก็จะส่งผลให้มีโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแข็งซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคหลอดเลือดสมองฮอร์โมนเอสโตรเจนมีบทบาทสำคัญในการป้องกันไม่ให้แคลเซียมถูกชะล้างออกจากกระดูก แต่ในวัยหมดประจำเดือนที่ร่างกายผู้หญิงสร้างเอสโตรเจนได้น้อยมากทำให้มวลกระดูกลดลง ส่งผลให้ผู้หญิงมีโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่าผู้ชาย 2-3 เท่า โดยพบว่า 1 ใน 5 ของผู้หญิงญี่ปุ่นมีภาวะกระดูกพรุนในวัย 60 ปี และ 1 ใน 3…

Computer Vision Syndrome (CVS) คือ กลุ่มอาการทางตาที่เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาในการใช้งานและจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่อง มีการศึกษาพบว่าประมาณ 90% ของผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน จะมีอาการ Computer Vision Syndrome อย่างใดอย่างหนึ่งหรืออาจเป็นร่วมกันจนส่งผลกระทบกับคุณภาพชีวิตในแต่ละวัน สาเหตุและปัจจัยร่วมต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดอาการ ได้แก่ – ขณะเพ่งจ้องกับการอ่านหนังสือ หรือจ้องจอคอมพิวเตอร์จะมีการกระพริบตาน้อยลงทำให้เกิดอาการตาแห้งง่ายขึ้น – แสงสว่างภายในห้องไม่เหมาะสม – มีแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ – การที่ตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์ไม่เรียบคมชัดเท่าตัวพิมพ์บนหน้าหนังสือ หรือมีความไม่นิ่งของสัญญาณในจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ตาต้องพยายามโฟกัสมากขึ้นจึงก่อให้เกิดอาการตาเมื่อยล้าได้ง่ายขึ้น – ท่าทางในการในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม อาการ – รู้สึกแสบตา ไม่สบายตา – เกิดอาการระคายเคืองตา…