เตรียมรับมือ โรคที่มากับหน้าฝนเตรียมรับมือ โรคที่มากับหน้าฝน

ในฤดูฝน อากาศจะชื้น อุณหภูมิจะลดลงเป็นบางช่วง การแพร่ระบาดของโรคติดต่อก็มีมากขึ้นเพราะเชื้อโรคหลายชนิดเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และเมื่ออากาศเปลี่ยน ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราอาจลดลงจนทำให้เมื่อมีการติดเชื้อจึงป่วยง่ายขึ้น ซึ่งโรคติดเชื้อที่มักมากับหน้าฝนนั้น เกิดขึ้นได้กับหลายระบบของร่างกาย

1. โรคระบบทางเดินหายใจ

ไข้หวัดใหญ่
เกิดจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสกลุ่ม Influenza Virus

อาการ
– ปวดศีรษะ
– ไอแห้ง
– มีน้ำมูก คัดจมูก
– ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
– มีไข้สูง

การป้องกัน
– หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
– หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด หรือใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
– ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี

โรคปอดอักเสบ หรือ ปอดบวม
เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง จะทำให้ถุงลมปอดเต็มไปด้วยหนองหรือสารคัดหลั่ง ส่งผลให้การหายใจไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนลดลง

เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง จะทำให้ถุงลมปอดเต็มไปด้วยหนองหรือสารคัดหลั่ง ส่งผลให้การหายใจไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนลดลง

อาการ
– มีไข้สูง ตัวร้อน หน้าแดง เหงื่อออก หนาวสั่น
– ไอ มีเสมหะ เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว หายใจลำบาก หอบเหนื่อย
– คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย อ่อนเพลีย
– ปวดเมื่อยตัว ปวดตาข้อ
– ผู้สูงอายุอาจมีอาการซึม รู้สึกสับสน
– ในทารกหรือเด็กเล็กอาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด อาเจียน ซึม ไม่ดูดนมหรือ- น้ำ บางรายอาจมีอาการชักจากไข้

การป้องกัน
– ไม่สูบบุหรี่ เนื่องจากสารจากควันบุหรี่จะไปทำลายกระบวนการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจตามธรรมชาติของปอด
– หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ควันไฟ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรืออากาศที่หนาวเย็น
– เมื่อเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่อย่าปล่อยทิ้งไว้ ควรรักษาให้หายขาดตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อน
– สร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
– สำหรับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อในกระแสเลือด

2. โรคที่มียุงเป็นพาหะ

โรคไข้เลือดออก
ติดต่อจากคนสู่คนโดยมียุงลายเป็นพาหะที่สำคัญ ยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุง และสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกกัดต่อไปได้

อาการ
1. ระยะไข้ (2 – 7 วัน) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกือบตลอดเวลา เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มักมีหน้าแดง และอาจมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามลำตัว แขน ขา
2. ระยะช็อกไข้เริ่มลดลง มีอาการซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว ปวดท้อง ปัสสาวะออกน้อย อาจมีเลือดออกง่าย ในรายที่รุนแรงจะมีความดันโลหิตต่ำ ช็อก และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ระยะนี้กินเวลา 24 – 48 เลือดออกง่าย ในรายที่รุนแรงจะมีความดันโลหิตต่ำ ช็อก และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ระยะนี้กินเวลา 24 – 48 ชั่วโมง ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายไม่จำเป็นต้องเป็นรุนแรง และเข้าสู่ภาวะช็อกทุกราย ในผู้ป่วยไข้เลือดออกที่อาการไม่รุนแรง เมื่อไข้ลดก็จะมีอาการดีขึ้น รับประทานอาหารได้ เข้าสู่ระยะฟื้นตัว
3. ระยะฟื้นตัวอาการต่าง ๆ จะเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยรู้สึกอยากรับประทานอาหาร ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรงขึ้นและช้าลง ปัสสาวะมากขึ้น บางรายมีผื่นแดงและมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามลำตัว

การป้องกัน
ป้องกันไม่ให้ยุงกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้าน รวมทั้งรอบๆ บริเวณบ้าน ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำในภาชนะที่ขังน้ำทุก 7 วัน เช่น แจกัน ปิดฝาโอ่งหรือภาชนะอื่นๆ ให้มิดชิด หรือใส่ทรายเคมี กำจัดลูกน้ำในภาชนะที่เก็บน้ำไว้ใช้ ใส่เกลือหรือน้ำส้มสายชูลงในจานรองขาตู้กับข้าวสัปดาห์ละครั้ง ในผู้ที่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาแล้ว หลังจากหายป่วยจากโรคเป็นเวลา 1  ปี ควรรับการฉีดวัคซีนไข้เหลือดออก เพราะผู้ป่วยที่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาแล้ว หากกลับมาเป็นซ้ำ ส่วนมากอาการจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น

โรคมาลาเรีย
เกิดจากเชื้อโปรโตซัวที่เรียกว่า พลาสโมเดียม (Plasmodium) มียุงก้นปล่องเพศเมียเป็นพาหะ เชื้อที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศไทย คือ พลาสโมเดียม ฟัลซิพารัม (Plasmodium Falciparum) และรองลงมา คือ พลาสโมเดียม ไวแว็กซ์ (P.Vivax)

อาการ
มีไข้สูง หนาวสั่น มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจทำให้เสียชีวิต เช่น เชื้อมาลาเรียขึ้นสมอง ระบบการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง ไตวาย ตับโต ม้ามโต

การป้องกัน
– หากจำเป็นต้องเข้าไปค้างแรมในป่า ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกินยาป้องกันโรค และปฏิบัติตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
– ใช้ยาจุดกันยุงเพื่อไล่ยุงเวลานอนในป่า เพื่อช่วยลดการถูกยุงกัดได้
– ควรนอนในมุ้งเวลานอนในป่า
– การทายากันยุง โดยเฉพาะชนิดที่ป้องกันได้นาน ๆ


3. โรคติดต่อทางน้ำและอาหาร

โรคตับอักเสบ
เป็นภาวะที่ตับมีอาการอักเสบ และติดเชื้อ ซึ่งโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ไวรัสตับอักเสบชนิด A B C D และ E โดยจะมีลักษณะการติดต่อที่แตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ โดยอาการตับอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ สาเหตุที่พบบ่อยมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส และยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานยาบางอย่าง เป็นต้น

อาการ
– อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ
– จุกแน่นใต้ชายโครงขวา ร่วมกับการมีคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
– เบื่ออาหาร
– ปัสสาวะสีเข้ม
– ตัวเหลือง ตาเหลือง

การป้องกัน
– หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำที่ไม่สะอาด หรืออาหารสุก ๆ ดิบ ๆ
– ไม่ใช้เข็ม มีดโกน แปรงสีฟัน ร่วมกับผู้อื่น
– สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
– รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ

4. โรคติดเชื้อทางแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง

โรคฉี่หนู
เกิดจากเชื้อกลุ่ม Leptospira มักพบการระบาดในหน้าฝนหรือช่วงที่มีน้ำท่วมขัง สัตว์ที่แพร่เชื้อโรคนี้ ได้แก่ พวกสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู โดยที่ตัวมันไม่เป็นโรคสัตว์พวกนี้เก็บเชื้อไว้ที่ไต ดังนั้นเมื่อฉี่ออกมาจะมีเชื้อนี้ปนอยู่ด้วย จึงเป็นที่มาของคำว่า “โรคฉี่หนู”

อาการ
– เยื่อบุตาบวมแดง
– เจ็บกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง
– มีเลือดออกบริเวณต่าง ๆ เฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง
– มีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง
– อาการเหลือง

การป้องกัน
– ควรสวมชุดป้องกัน เช่น รองเท้าบูท ถุงมือ ถุงเท้า เสื้อผ้า
– หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่เป็นพาหะของโรค
– หลีกเลี่ยงการสัมผัสปัสสาวะโค กระบือ หนู สุกร และไม่ใช้แหล่งน้ำที่สงสัยว่าอาจปนเปื้อนเชื้อ
– หลีกเลี่ยงอาหารที่ทิ้งไว้ค้างคืนที่ไม่ปิดภาชนะ
– หลีกเลี่ยงการทำงานในน้ำ หรือต้องลุยน้ำ ลุยโคลนเป็นเวลานาน ๆ
– รีบอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายโดยเร็วหากแช่หรือย่ำลงไปในแหล่งน้ำที่สงสัยว่าอาจปนเปื้อนเชื้อ

โรคตาแดง
เกิดจากการสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรง และการใช้สิ่งของร่วมกัน หรือจากการหายใจหรือไอจามรดกัน เชื้อโรคสามารถแพร่ระบาดได้ตามสถานที่ที่มีผู้คนอยู่ร่วมกันมาก ๆ เช่น รถไฟฟ้า รถโดยสารสาธารณะ โรงพยาบาล โรงเรียน และมักพบในกลุ่มเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

อาการ
– ตาแดง
– ปวดเล็กน้อยในเบ้าตา
– คันตา เคืองตา รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในดวงตา
– น้ำตาไหล เปลือกตาบวม อาจพบตุ่มเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป
– ในกรณีที่ติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย จะมีขี้ตามาก ทำให้ลืมตายากในช่วงตื่นนอน

การป้องกัน
– หมั่นล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้ตา
– ไม่ใช้ยาหยอดตาขวดเดียวกันกับดวงตาทั้งสองข้าง หยุดใช้คอนแทคเลนส์จนกว่าอาการจะหายสนิท
– ไม่ใช้ผ้าเช็ดตัว ปลอกหมอน ผ้าห่ม ร่วมกับผู้ป่วยโรคตาแดง
– พักเรียน หรือพักงานอย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อไม่ให้โรคแพร่กระจายสู่ผู้อื่น
– พักการใช้สายตา และพักผ่อนให้เพียงพอ
– ไม่จำเป็นต้องปิดตา เว้นแต่กรณีที่กระจกตาอักเสบหรือเคืองตามากอาจปิดตาชั่วคราว หรือสวมแว่นกันแดดแทน

เราสามารถลดเสี่ยงโรคติดเชื้อได้ ด้วยการดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ ปฏิบัติตามแนวทางป้องกันเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการเจ็บป่วย และเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อย่าง IMMU V+ จะช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายให้แข็งแรง พร้อมต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี