ปวดหลังไม่ไหว สัญญาณเตือนโรคที่เกิดจากการปวดหลัง

เมื่อมีอาการปวดหลัง หลายคนเลือกที่จะเมินเฉยกับอาการปวดนี้ หรือแค่อาจหายาแก้ปวดมารับประทานเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น ข้อสังเกตสำคัญหากมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการร้าวลงขา หรือปวดคอร้าวลงแขน และปวดบริเวณอื่น ๆ ร่วมด้วย คงไม่ใช่แค่อาการปวดหลังธรรมดาเพราะอาการปวดหลังในแต่ละแบบนั้น อาจเป็นสัญญาณเตือนบ่งบอกความผิดปกติของร่างกายหรือโรคต่าง ๆ ได้

อาการปวดหลัง บ่งบอกโรคอะไรบ้าง ?

1. อาการปวดหลังส่วนบน

อาการปวดหลังส่วนบนมักเกิดร่วมกับอาการปวดคอ ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการใช้ท่าทางที่ไม่เหมาะสมระหว่างวันเช่น การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือการก้มเล่นมือถือนาน ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคออฟฟิศซินโดรม อาการปวดหลังส่วนบนนี้ อาจพบได้ในโรคของกล้ามเนื้อ หมอนรองกระดูกคอ หรือข้อต่อกระดูกสันหลังส่วนคอ ที่ทำให้เกิดอาการปวดคอร่วมกับอาการปวดหลังส่วนบน

2. อาการปวดหลังช่วงเอว หรืออาการปวดหลังส่วนล่าง

อาการปวดหลังระดับเอว หรืออาการปวดหลังส่วนล่าง (low back pain) เป็นอาการปวดที่พบบ่อยที่สุดของโรคทางออร์โธปิดิกส์หรือโรคทางกระดูกและข้อ สาเหตุเกิดจาก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ จากกล้ามเนื้อหลัง หมอนรองกระดูกสันหลัง และจากข้อต่อกระดูกสันหลัง โดยจะมีอาการปวดหลังบริเวณเอวต่ำกว่าขอบของซี่โครงซี่ล่างสุด จนถึงบริเวณสะโพกและก้น มีอาการมากขึ้นหรือลดลงสัมพันธ์กับท่าทางการเคลื่อนไหว หรือการทำงาน หรืออาจปวดตลอดเวลาโดยไม่สัมพันธ์กับท่าทาง บางรายอาจมีอาการปวดกลางคืนมากจนไม่สามารถนอนหลับได้ ทั้งนี้ขึ้นกับพยาธิสภาพของโรคนั้น ๆ

3. อาการปวดหลังด้านซ้ายหรือด้านขวา

อาการปวดหลังด้านซ้ายหรือปวดหลังด้านขวา มักมีสาเหตุจากกล้ามเนื้อหลังผิดปกติ ข้อต่อกระดูกส่วนอก หรือกระดูกซี่โครงอ่อนอักเสบ อุบัติเหตุ การกระแทก การเกร็งหรือยกของหนัก  และสาเหตุอื่น ๆ เช่น แน่นหน้าอกจากสาเหตุทางโรคหัวใจ หลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องอก กรดไหลย้อน เยื่อหุ้มปอดอักเสบ โรคไต นิ่วในไต หรือปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะ

วิธีบรรเทาอาการปวดหลัง

1. ลดอาการปวดด้วยการประคบร้อนและเย็น

สำหรับบางคนที่มีอาการปวดหลังในระยะเริ่มต้น การประคบเย็นด้วยน้ำแข็ง จะช่วยลดแผลอักเสบหรือการบวมได้ด้วยการลดการไหลของเลือด การวางถุงน้ำแข็งลงบนบริเวณที่เพิ่งเริ่มปวด แบบไม่เกิน 48 ชั่วโมง สามารถช่วยลดอาการปวดได้ โดยให้วางไว้ 20 นาที ทุกๆ 2 ชั่วโมง ส่วนการประคบด้วยความร้อน จะช่วยในการบรรเทาการปวดของกล้ามเนื้อ โดยหาจุดที่ปวดให้เจอแล้วประคบร้อนบริเวณนั้น เนื่องจากความร้อนจะช่วยให้หลอดเลือดขยาย เหมาะสำหรับอาการปวดเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ เมื่อหลอดเลือดขยาย จะส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น และอาการปวดจะบรรเทาลง โดยเฉพาะหลังการปวด 48 ชั่วโมงไปแล้ว และไม่ว่าจะเป็นความร้อนแบบแห้งหรือการแช่น้ำร้อนก็สามารถช่วยได้เหมือนกัน

2. นอนราบแผ่นหลังติดพื้นยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลัง

เมื่อมีอาการปวดหลังเกิดขึ้น มองหาที่นอนที่ไม่นุ่มและไม่แข็งจนเกินไป แต่มีพื้นแบนราบพอที่จะนอนลงไปได้ สบายๆ เช่น เสื่อโยคะ จากนั้นดันแผ่นหลังให้ติดพื้น แขนทั้งสองข้างอยู่แนบกับลำตัว พร้อมเกร็งหน้าท้องค้างไว้ ประมาณ 10 วินาที แล้วพัก จากนั้นทำซ้ำราว 2-3 ครั้ง ช่วยให้แผ่นหลังที่อ่อนล้า ปวดเมื่อย กลับเข้ามาอยู่ในสภาพปกติ จัดเรียงกระดูกและกล้ามเนื้อให้กลับมาเข้าที่เหมือนเดิม ซึ่งเป็นท่าง่ายๆ ที่ช่วยลดอาการปวดหลังส่วนล่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ

3. ท่าโยคะนั่งไขว้ขา บิดเอว

ท่านี้จะช่วยผ่อนคลายอาการปวดหลังส่วนล่าง เมื่อยล้า ช่วยยืดกระดูกสันหลัง เปิดหัวไหล่ คอ และสะโพก เพิ่มความยืดหยุ่นบริเวณสะโพกและกระดูกสันหลัง เริ่มจากนั่งขัดสมาธิบนพื้น ยกขาข้างขวาวางพาดทับขาซ้าย ให้ขาข้างซ้ายยังงอเข่านอนลงชิดพื้นอยู่ ขาข้างขวาตั้งเข่าขึ้น เอามือขวาแตะพื้นขวา มือซ้ายแตะท้ายทอย แล้วเอี่ยวตัวไปทางขวาให้สุด ค้างไว้ 3 – 5 วินาที จากนั้นกลับมาหน้าตรง วางมือซ้ายบนพื้นข้างลำตัวด้านซ้าย มือขวาแตะท้ายทอย บิดเอวไปทางขวา ค้างไว้ 3 – 5 วินาที จากนั้นจึงสลับขา และสลับมือ บิดเอวทั้ง 2 ข้างเหมือนเดิม เป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อส่วนหลัง เลือดไหลเวียนในบริเวณหลัง เอว ได้ดียิ่งขึ้น

4. คลายปวดหลังด้วยการนวด

อาการปวดหลัง เอว และขา สามารถคลายความปวดได้ด้วยการนวด ซึ่งสามารถบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง เพียงใช้สองมือกดและบีบเพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ต่อมและอวัยวะต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น วิธีโดย ท่าแรกนั่งขัดสมาธิ กำหมัดทั้งสองวางไว้บริเวณบั้นเอว หายใจเข้าพร้อมกดมือ แอ่นหน้าอก กลั้นหายใจนับ 1 – 5 หายใจออกพร้อมคลายแรงกด ท่าที่สองขยับกำปั้นมาบริเวณที่กลางบั้นเอว หายใจเข้าพร้อมกดมือ แอ่นหน้าอก กลั้นหายใจนับ 1 – 5 หายใจออกพร้อมคลายแรงกด จากนั้นให้ใช้กำปั้น ทุบหรือคลึงเบาๆ ไปที่หลังตรงที่มีอาการปวด ทำซ้ำ 2 – 3 ครั้ง

5. ควบคุมน้ำหนักตัว

น้ำหนักตัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปวดหลัง ดังนั้นให้พยายามควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอดี โดยเฉพาะที่หน้าท้อง เพราะทำให้แรงโน้มถ่วงโน้มไปข้างหน้ามากกว่า แต่คนที่ผอมก็มีโอกาสปวดหลังได้เหมือนกัน เพราะการที่ผอมมาก ๆ หรือมีมวลกระดูกต่ำ อาจทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งข้อแนะนำที่ดีที่สุดคือทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ และออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่พอดี

6. เลือกทานอาหารเสริมที่มี Collagen Type ll

ซึ่งคอลลาเจนไทพ์ทูนั้นถูกนำมาใช้บรรเทาอาการปวดต่าง ๆ อย่างอาการปวดหลัง ปวดข้อเข่าต่าง ๆ โดยเชื่อว่าคอลลาเจนชนิดนี้จะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารต้านอาการปวด บวม หรืออักเสบ อย่าง Progen Plus ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคอลลาเจนบริสุทธิ์สกัดจากปลา อุดมไปด้วยกรดอะมิโนมากกว่า 18 ชนิด ช่วยดูแลกระดูก เอ็น ข้อต่อ ให้มีความแข็งแรง