ทุกคนมีกิจวัตรยามเช้าที่ต้องทำไหม? ซึ่งพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ หากทำเป็นประจำสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีได้ แต่หากใครไม่รู้จะเริ่มต้นยามเช้ายังไงดี ก็ขอแนะนำกิจวัตรยามเช้าที่ นักวิจัยด้านความงามและนักเขียนด้านความงามชาวญี่ปุ่นทำทุกวันเป็นเวลาหลายปีเพื่อความงามและสุขภาพมาฝากกัน 1. น้ำยาบ้านปากแบคทีเรียจะเติบโตในปากของเราในขณะที่เรานอนหลับ หากตื่นมาแล้วหาอะไรมารับประทานแบคทีเรียเหล่านั้นก็จะเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น ให้เริ่มกลั้วคอในตอนเช้าเสมอ หรือหากมีเวลาก็แปรงฟัน 2. สำรวจผิวหนังหลังจากกลั้วคอแล้ว ก็ตามด้วยเช็กผิวในห้องที่มีแสงสว่าง ตรวจสอบความหมองคล้ำหรือสิว ระดับการเปิดของรูขุมขน ริ้วรอยและความหย่อนคล้อยอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นล้างมือและสัมผัสผิวด้วยมือที่สะอาด เช็กความแห้ง ความมันของผิวด้วยยิ่งดี 3. ล้างหน้าควรล้างหน้าตั้งแต่ก่อนเปิดม่านเพื่อไม่ให้ผิวโดนแสงยูวี ดังนั้น ควรเริ่มดูแลผิวด้วยการล้างหน้าและทาครีมกันแดด การล้างหน้าในตอนเช้าจะใช้โฟมล้างหน้าเสมอ เพราะความมันที่หลั่งออกมาระหว่างการนอนหลับไม่สามารถขจัดออกด้วยน้ำหรือน้ำอุ่นได้ และหากยังหลงเหลืออยู่บนผิวหนังก็อาจทำให้เกิดออกซิเดชันและนำไปสู่ปัญหาผิว เช่น ความหมองคล้ำได้ ทางนักวิจัยยังพูดอีกว่า เมื่อสองสามปีก่อน เคยล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นหรือผ้าขนหนูชุบน้ำหมาด ๆ แต่หลังจากล้างหน้าให้เป็นนิสัยในตอนเช้าแล้วรู้สึกว่าผิวสว่างขึ้น โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างหน้าให้เหมาะกับสภาพผิวและสถานการณ์ในขณะนั้น…

เข้าหน้าฝนแล้ว เชื่อว่ามีเพื่อน ๆ อยู่หลายคน ที่แพ้อากาศไม่ต่างจากเรา ปัญหาที่ตามมาคือ ร่างกายอ่อนแอ หวัดถามหาจ้า! จามทั้งวัน น้ำมูกไหลไม่หยุด รำคาญมาก เป็นเหมือนกันใช่มั้ย ถ้าจะต้องกินยาทุกวัน ไม่ไหวนะ งั้นเรามาดูแลตัวเองกันหน่อยดีกว่า วันนี้เรามี ผลไม้สู้หวัด ช่วยเสริมภูมิ ป้องกันหวัดช่วงหน้าฝน จะมีผลไม้อะไรบ้าง? ที่กินแล้วช่วยเสริมภูมิต้านทาน ให้ร่างกายพร้อมสู้ช่วงหน้าฝนบ้าง เราไปเช็กลิสต์ดูกันเลยดีกว่า รวมผลไม้เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัดช่วงหน้าฝน ผลไม้สู้หวัด : ฝรั่ง เปิดมาที่ผลไม้ชนิดแรก ฝรั่ง รู้มั้ยว่าฝรั่งนั้นมีวิตามินซีมากกว่าส้ม 3 – 6 เท่า และมากกว่ากล้วยเกือบ 20 เท่า! เพราะงั้นฝรั่งจึงเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ช่วยแก้หวัดได้ แถมยังช่วยลดน้ำมูก…

การมีอายุยืนยาวอย่างสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขกับบั้นปลายชีวิตเป็นสิ่งที่คนทุกคนปรารถนา นอกจากการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าสารอาหารครบถ้วนสมดุล การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การควบคุมความเครียด และมีงานอดิเรกที่ชอบแล้ว พฤติกรรมการทานอาหารก็มีผลเป็นอย่างมากในทำให้คนเรามีอายุยืนนานอย่างมีประสิทธิภาพ มารู้ถึงปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดความแก่และโรคภัยต่าง ๆ  และวิธีการชะลอวัยและป้องกันโรคด้วยการกินอิ่มแค่ 80%  กปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดความแก่มีอะไรบ้าง? จากการศึกษาและงานวิจัยมากมายพบว่าการรับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไปและขาดการออกกำลังกายทำให้เพิ่มการสะสมของ ไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ซึ่งเป็นไขมันที่สะสมอยู่รอบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ไขมันชนิดนี้นอกจากจะทำให้ท้องยื่นออกมาแล้วก็ยังไปเร่งการเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งนำไปสู่โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และพัฒนาไปสู่การเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย โรคหลอดเลือดสมอง หัวใจล้มเหลว และนำไปสู่การเสียชีวิตด้วยอายุไขที่สั้นลง ทำไมการกินอิ่มแค่ 80% ดีต่อสุขภาพ จากข้อมูลการทดลองในสัตว์มาหลายทศวรรษพบว่าการจำกัดปริมาณพลังงานในแต่ละวันจะทำให้สัตว์ทดลองมีอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น และยังช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากการดำเนินชีวิตประจำวันและภาวะโรคที่เกี่ยวกับการแก่ได้ด้วย การจำกัดปริมาณพลังงานช่วยกระตุ้นให้ยีนในร่างกายที่ควบคุมการมีอายุยืนและการแก่ในมนุษย์ซึ่งก็คือยีน เซอทูอิน (Sirtuin) ทำงานได้ดีขึ้น โดยยีนชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการผลิตโปรตีนที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ ผลิตพลังงาน และทำงานเกี่ยวกับกลไกชะลอความแก่เป็นต้น เมื่อยีนทำงานได้ดีก็ช่วยชะลอความแก่และการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ดี…

1.ยืดเส้นยืดสาย หากกล้ามเนื้อพูดได้คงอยากตะโกนออกมาดัง ๆ ว่า…ไม่ไหวแล้ว! เพราะการทำงานวันละ 7-8 ชั่วโมงจะเกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ บริเวณคอ ไหล่ หลัง นี่ยังไม่รวมกับอาการอ่อนล้า ไม่สดชื่น วิธีที่ดีที่สุดที่อยากแนะนำก็คือ ทุก ๆ 2 ชั่วโมง (หรือน้อยกว่านั้น) ควรเปลี่ยนอิริยาบถ ขยับร่างกายบ้าง เช่น  ลุกออกไปเดินรอบออฟฟิศ เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น แล้วลุกยืดเส้นยืดสายให้กับร่างกายบ้าง เพิ่มพลังในการทำงานระหว่างวันได้ 2. พักสายตาเป็นระยะ  ใครที่ทำงานในออฟฟิศ ต่างต้องใช้ดวงตาจ้องคอมพิวเตอร์ทั้งวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ห่วงคนทำงานที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ เลยอยากแนะนำให้เหล่าคนทำงานพักสายตาจากหน้าจอทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ครั้งละ 5-10 นาที และให้มองไปที่ไกล ๆ หรือไม่ก็กะพริบตาบ่อยๆ …

  “เช้าแดดออก บ่ายฝนตก เย็นต้องเจอกับลมหนาว” ข้อความที่คุณอ่านไปไม่ใช่การพยากรณ์ แต่เป็นสภาพอากาศจริงที่กำลังเจออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ฉับพลันทำให้ร่างกายไม่สามารถที่จะปรับตัวได้ทัน ภูมิคุ้มกันลดต่ำลง จึงเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งหากปล่อยเรื้อรังจนมีอาการรุนแรงอาจนำไปสู่การติดเชื้อทางเดินหายใจได้      ดังนั้น ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยการดูแลสุขภาพของระบบทางเดินหายใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ระบบทางเดินหายใจต้องดูแลเป็นพิเศษ “โพรงจมูก” และ“ลำคอ” ถือเป็นอวัยวะด่านแรกที่ต้องเจอกับสิ่งแปลกปลอม สารก่อภูมิแพ้ รวมไปถึงเชื้อโรค เชื้อไวรัส หรือแม้กระทั้งสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้ระบบทางเดินหายใจได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ยิ่งโดยเฉพาะในช่วง “ปลายฝน ต้นหนาว” หรือช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูฝนและฤดูหนาวที่สภาพอากาศชื้น ส่งผลให้เชื้อโรคเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และฟุ้งกระจายในอากาศ เมื่อเกิดการสูดดมหรือหายใจเข้าไป จะเกิดการสะสมในระบบทางเดินหายใจ โดยปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยมี ดังนี้      1.น้ำมูกไหล เป็นกลไกการป้องกันและกำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อโรค ฝุ่นควันรวมถึง PM2.5 ละอองเกสรดอกไม้ และสารเคมีต่าง ๆ…