ติ่งเนื้อ คืออะไร? อันตรายหรือไม่ ?

สังเกตไหมว่า เมื่อเป็นผู้ใหญ่อายุมากขึ้น ก็มักจะมี “ติ่งเนื้อ” เล็ก ๆ ขึ้นมาตามคอ หลัง หรือช่วงบ่า ปรากฏขึ้นมากมาย ทั้ง ๆ ที่สมัยวัยรุ่นไม่เคยเห็น ติ่งเนื้อพวกนี้มาจากไหน อันตรายหรือไม่ ถ้าไม่อยากเอาไว้ มีวิธีกำจัด-รักษาหรือเปล่า

ติ่งเนื้อผิวหนัง หรือ ติ่งเนื้อ (Acrochordon หรือ Skin tag) คือ ก้อนเนื้อเล็ก ๆ นิ่ม ๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง มีสีและขนาดที่แตกต่างกัน มักจะเกิดเมื่อมีอายุมากขึ้นตั้งแต่ 30-60 ปีขึ้นไป เป็นได้ทั้งในเพศชายและหญิง โดยสามารถพบได้ตามข้อพับ ใบหน้า ตามลำตัว หรือบริเวณผิวหนังที่ย่นทับกัน เช่น คอ รักแร้ เปลือกตา มีขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่

ลักษณะและอาการของติ่งเนื้อ

ติ่งเนื้อที่เพิ่งขึ้นบนผิวหนัง จะเป็นก้อนเนื้อนุ่มมีขนาดเล็กนูนขึ้น และยื่นออกมาเป็นติ่ง และจะค่อย ๆ กลายเป็นสีเดียวกับผิวหนัง โดยไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดใด ๆ แต่อาจรู้สึกระคายเคืองบ้างหากเสียดสีกับเสื้อผ้า หรือถ้าก้านที่ยึดติ่งเนื้อถูกบิด อาจเกิดลิ่มเลือดภายในติ่งเนื้อและรู้สึกเจ็บได้

โดยปกติแล้ว ติ่งเนื้อไม่เป็นอันตราย และไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นมะเร็ง อย่างไรก็ตาม หากรู้สึกว่าติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่เกินไป หรือโตเร็วผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าเป็นติ่งเนื้อธรรมดา หรือเป็น “เนื้องอกที่เป็นอันตราย” โดยหากติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่เกินไป แพทย์อาจจะทำการตัดติ่งเนื้อออกเพื่อลดความเสี่ยง เนื่องจากยิ่งมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ก็จะเสียดสีเวลาใส่เสื้อผ้าทำให้รู้สึกเจ็บจนอาจเกิดแผลขึ้นได้

ติ่งเนื้อที่พบได้บ่อยในวัยผู้ใหญ่ มักเกิดขึ้นตามลำคอ แม้จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่บางคนอาจรู้สึกว่าติ่งเนื้อที่คอทำให้ผิวหนังดูไม่เรียบเนียนสวยงาม และเกิดความไม่มั่นใจตามมา

สาเหตุการเกิดติ่งเนื้อ

ติ่งเนื้อเกิดจากผิวหนังล้อมรอบเส้นใยคอลลาเจนและเส้นเลือด คอลลาเจนดังกล่าวเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่พบได้ตามร่างกายโดยเฉพาะที่ผิวหนัง ผู้ที่อายุมากมักมีติ่งเนื้อขึ้นมา ส่วนเด็กเล็กหรือทารกอาจมีติ่งเนื้อขึ้นมาบ้าง สาเหตุที่ทำให้เกิดติ่งเนื้อยังไม่ปรากฏแน่ชัด อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดติ่งเนื้อได้ ดังนี้

ภาวะดื้ออินซูลิน ภาวะนี้คือภาวะที่นำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และภาวะน้ำตาลผิดปกติ (Prediabetes) โดยภาวะดื้ออินซูลินอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดติ่งเนื้อ เนื่องจากร่างกายดูดซึมน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดได้ไม่ดี ทั้งนี้ งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้แสดงให้เห็นว่าติ่งเนื้อเกี่ยวเนื่องกับดัชนีมวลกายที่มาก ภาวะไตรกลีเซอร์ไรด์สูง และภาวะดื้ออินซูลิน

ภาวะอ้วน ผู้ที่ประสบภาวะอ้วน จะป่วยเป็นโรคผิวหนังช้าง (Acanthosis Nigricans) โดยโรคนี้จะเกิดติ่งเนื้อจำนวนมากตามผิวหนังบริเวณคอและรักแร้

การตั้งครรภ์ ติ่งเนื้ออาจเป็นผลข้างเคียงจากการตั้งครรภ์ เนื่องจากผู้ที่ตั้งครรภ์จะมีระดับฮอร์โมนและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ติ่งเนื้ออาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อและภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล

เชื้อเอชพีวี งานวิจัยบางชิ้นได้ศึกษาติ่งเนื้อจำนวน 37 ชิ้น ที่ขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย พบว่าติ่งเนื้อจำนวนร้อยละ 50  ปรากฏดีเอ็นเอของเชื้อเอชพีวี (Human Papillomavirus: HPV) จึงกล่าวได้ว่าเชื้อเอชพีวีอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดติ่งเนื้อ

พันธุกรรม ผู้ที่บุคคลในครอบครัวเคยมีติ่งเนื้อขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อาจเสี่ยงเกิดติ่งเนื้อได้

วิธีการรักษา

ในบางรายที่มีปัญหาในภาพลักษณ์ ต้องการรักษา แพทย์จะให้การรักษาโดยทำการตัดออก โดยใช้ใบมีด กรรไกร จี้ไฟฟ้า การเลเซอร์ และการใช้ความเย็น ไนโตรเจนเหลว หลังรักษาอาจจะมีแผลตื้น ๆ ควรทายาและดูแลให้สะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

จี้ติ่งเนื้อ : ใช้ไฟจี้ติ่งเนื้อให้หลุดออกไป

ผ่าตัดติ่งเนื้อ : วิธีนี้จะช่วยกำจัดติ่งเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีความเสี่ยงในการที่จะเกิดเลือดออกและมีบาดแผล

ใช้ความเย็นจัด : วิธีนี้จะรักษาติ่งเนื้อด้วยอุณหภูมิเย็นจัด โดยแพทย์จะสอดอุปกรณ์สำหรับรักษาเข้าไปข้างในเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้กับบริเวณที่เส้นประสาทถูกทำลาย และลดอุณหภูมิจนเย็นจัดเพื่อแช่แข็งเส้นประสาท จากนั้นติ่งเนื้อถูกแช่แข็ง ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหรือระคายเคืองจากการเสียดสีได้

สรุป

ติ่งเนื้อ คือ ก้อนเนื้อเล็กนิ่ม ๆ ซึ่งเกิดขึ้นมาและเป็นติ่งอยู่บนผิวหนัง ไม่ใช่ปัญหาผิวหนังที่อันตราย แต่หากปล่อยไว้อาจจะทำให้เกิดความรำคาญและอาจะเกิดการระคายเคืองเมื่อถูกเสียดสีด้วยความรุนแรง สำคัญอย่างยิ่งและไม่ควรทำ คือ ใช้ของมีคมในการตัด ดึง หรือบีบติ่งเนื้อที่เกิดตามผิวหนังด้วยตัวเอง รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่ามีคุณสมบัติในการจำกัดติ่งเนื้อได้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักไม่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ และสามารถทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ หรืออาจนำไปสู่การเกิดปัญหาผิวหนังที่รุนแรงตามมาได้