Skip to content
เคยสังเกตไหมว่าเวลาเข้าห้องน้ำปัสสาวะแต่ละครั้ง สีปัสสาวะ เป็นสีอะไร รู้ไหมว่าเราสามารถเช็กถึงสัญญาณสุขภาพจากสีของปัสสาวะได้
ปัสสาวะ เป็นสิ่งที่ช่วยบ่งบอกโรคได้หลายชนิด เช่น โรคไต โรคเบาหวาน โรคตับ โรคกระเพาะ ปัสสาวะอักเสบ โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น การสังเกตปัสสาวะของตนเอง โดยดูจากจำนวน สี ความขุ่น และกลิ่นของปัสสาวะ ก็จะทำให้ทราบถึงความผิดปกติหลาย ๆ อย่างของร่างกายได้
จำนวนของปัสสาวะ
คนปกติจะถ่ายปัสสาวะวันละ 3 ถึง 5 ครั้ง ควรถ่ายปัสสาวะส่วนใหญ่ในเวลากลางวัน ตั้งแต่ตื่นนอนเช้าถึงก่อนเข้านอน ส่วนกลางคืนหลังเข้านอนแล้วไม่ควรถ่ายปัสสาวะอีกจนถึงเช้า นอกจากจะดื่มน้ำมากหรือในเด็กเล็ก หรือคิดมาก นอนไม่หลับ อาจถ่ายปัสสาวะในเวลากลางคืนได้อีก
การถ่ายปัสสาวะบ่อย ๆ อาจเป็นเพราะความวิตกกังวลซึ่งกระตุ้นให้อยากถ่ายปัสสาวะอยู่เรื่อย ๆ โดยไม่ได้เป็นโรคไต หรือโรคของทางเดินปัสสาวะก็ได้ ถ้าปัสสาวะบ่อยเป็นประจำกะปริบกะปรอย อาจเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลัน หรือเป็นโรคไตพิการเรื้อรัง
– ปกติเด็กอายุ 1 ถึง 6 ขวบ จะถ่ายปัสสาวะวันหนึ่งไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามส่วนของหนึ่งลิตร (ประมาณ 1 แก้วครึ่ง) และไม่ควรมากกว่าหนึ่งลิตร
– เด็กอายุ 6 ถึง 12 ขวบ ควรถ่ายปัสสาวะวันหนึ่งไม่น้อยกว่าครึ่งลิตร และไม่ควรเกินสองลิตร
– ผู้ใหญ่ควรถ่ายปัสสาวะวันละเกือบลิตร และไม่ควรเกินสองลิตร
– ถ้าถ่ายปัสสาวะน้อยไป ส่วนใหญ่เกิดจากการดื่มน้ำน้อย หรือเกิดจากการเสียน้ำทางอื่น เช่น เหงื่อออกมาก ท้องเดิน ท้องร่วง อาเจียนมาก เป็นต้น ส่วนน้อยเกิดจากโรคไต โรคหัวใจ และอื่น ๆ
– ถ้าถ่ายปัสสาวะมากไป ส่วนใหญ่มักเกิดจากการดื่มน้ำมาก หรือพบในโรคเบาหวาน เบาจืด โรคเกี่ยวกับระบบประสาท โรคไตพิการเรื้อรังบางระยะ การกินยาขับปัสสาวะ เป็นต้น
– บางครั้งพบว่าไม่มีปัสสาวะเลย หรือทั้งวันถ่ายปัสสาวะได้น้อยกว่า 1 ใน 10 ส่วนของลิตร (น้อยกว่า 1 ถ้วยแก้ว) ซึ่งอาจเกิดจากการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ, โรคเป็นพิษเนื่องจากปรอท, โรคไตอักเสบอย่างรุนแรง, ภาวะช็อก (เลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่พอ) เป็นต้น
สำหรับอาการผิดปกติในการขับปัสสาวะ เช่น ปวดท้องน้อยในขณะถ่ายปัสสาวะ แสบที่ช่องถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะแล้วรู้สึกไม่สุดอยากจะถ่ายอีกทั้ง ๆ ที่ไม่มีปัสสาวะ ปัสสาวะขัด อาจมีการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
สีของปัสสาวะ…สัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพ
เพราะสีของปัสสาวะคือสัญญาณที่ร่างกายกำลังร้องเตือนภัยเงียบที่เกิดขึ้นให้เราได้เตรียมรับมือได้อย่างทันท่วงที วิธีการตรวจเช็คด้วยตัวเองง่าย ๆ ควรจะสังเกตสีของปัสสาวะอย่างสม่ำเสมอ
ปัสสาวะสีแดง
หากปัสสาวะมีสีแดงอาจเกิดจากมีเลือดออกในระบบปัสสาวะ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น นิ่ว เนื้องอก มะเร็ง การอักเสบติดเชื้อ การบาดเจ็บ หรืออาจเกิดจากมีเลือดประจำเดือนปนเปื้อนในปัสสาวะ
ปัสสาวะสีเหลืองเขียว
หากใครที่สังเกตว่าสีปัสสาวะตัวเองเป็นสีเหลืองเขียว อาจเกิดจากตับทำงานผิดปกติ หรือท่อน้ำดีอุดตัน อาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองร่วมด้วย หรือที่เรียกว่า ดีซ่าน
ปัสสาวะสีน้ำตาลปนแดงหรือสีโค้ก
อาจเกิดจากเม็ดเลือดแดงแตก ภาวะกล้ามเนื้อลายสลาย นอกจากนี้ยาบางชนิดยังทำให้ปัสสาวะมีสีน้ำตาลได้ เช่น ยาเมโทรนิดาโซลที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียหรือยาควีนินที่ใช้ป้องกันโรคมาลาเรีย และหากปัสสาวะออกสีแดงมาก หรือ สีเหมือนน้ำล้างเนื้อ ควรรีบพบแพทย์
ปัสสาวะขุ่น
สีปัสสาวะเป็นสีขุ่นอาจเกิดจากการติดเชื้อ ท่อน้ำเหลืองอุดตัน หรือเกิดจากสารฟอสเฟตปนมาในปัสสาวเนื่องจากดื่มนมมากเกินไป และอาจเกิดจากโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคกรวยอักเสบ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ รวมถึงอาจเกิดจากการมีน้ำเหลืองปนอยู่ในปัสสาวะหรือมีโปรตีนมากเกินไปร่างกาย
นอกจากการสังเกตสีของปัสสาวะแล้ว ความขุ่นใส ปัสสาวะเป็นฟอง อาการเจ็บเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย หรือ ปัสสาวะมีกลิ่นฉุนมาก ๆ ก็อาจเป็นสัญญาณตือนถึงความผิดปกติของร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้นหากสังเกตเห็นปัสสาวะเปลี่ยนไป ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย การค้นพบโรคร้ายแรงบางชนิดตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น